KLD Clinic Logo
บทความสุขภาพ / ทำไมต้องตรวจมวลกระดูก
ทำไมต้องตรวจมวลกระดูก
ดูแลครบวงจร ทุกมิติความปวด! ที่ KLD เราพร้อมให้คำปรึกษาแนวทางการรักษาโรค กระดูกและข้อ อย่างตรงไปตรงมาและเหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละข้อจำกัดของบุคคล ด้วยแพทย์และพยาบาลเฉพาะทางที่มากประสบการณ์ และทำด้านนี้โดยเฉพาะมาอย่างเดียว คุณจึงมั่นใจได้ว่าทุกการรักษาจะมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด

กระดูกเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายมนุษย์คงรูปและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายของเราจะมีการสร้างและสะสมมวลกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยการสะสมนี้จะสูงสุดที่อายุประมาณ 30 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่มวลกระดูกมีความหนาแน่นสูงสุด หลังจากนั้นกระบวนการสร้างมวลกระดูกจะลดลงและเข้าสู่ระยะคงที่ จากนั้นค่อยๆ เสื่อมสภาพตามอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายอายุ 60 ปีขึ้นไป มวลกระดูกจะลดลงเร็วกว่าช่วงอื่นๆ

 

ภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุน


ภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) และภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่มวลกระดูกลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงสร้างกระดูกอ่อนแอและเปราะบางมากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแตกหักได้ง่ายขึ้น แม้เพียงจากการบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น การลื่นล้ม หรือการกระแทกเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุนมักไม่มีอาการปวดหรืออาการแสดงใดๆ จนกว่าจะเกิดกระดูกหักหรือกระดูกทรุด ทำให้บางครั้งการตรวจพบภาวะนี้เป็นไปได้ยากหากไม่ตรวจสุขภาพกระดูกเป็นประจำ

 

กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน

กลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มเกิดภาวะกระดูกพรุน ได้แก่:


1. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน – เมื่อหมดประจำเดือน ร่างกายจะมีการลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกระดูก การลดลงของเอสโตรเจนทำให้มวลกระดูกลดลงอย่างรวดเร็ว
2. ผู้ชายอายุมากกว่า 60 ปี – แม้ว่าผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนต่ำกว่าผู้หญิง แต่ผู้ชายที่อายุมากขึ้นก็จะมีการลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาความแข็งแรงของกระดูกเช่นกัน
3. คนที่ขาดสารอาหารและแคลเซียม – การขาดแคลเซียมและวิตามินดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระดูกเสื่อมเร็ว
4. คนที่มีประวัติครอบครัว – หากครอบครัวมีประวัติของภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกหักง่าย คนในครอบครัวเดียวกันก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดภาวะนี้เช่นกัน

 

การตรวจคัดกรองภาวะกระดูกพรุน

เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกหักหรือทรุดจากภาวะกระดูกพรุน การตรวจคัดกรองเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยแพทย์แนะนำให้เริ่มตรวจมวลกระดูกในกลุ่มดังต่อไปนี้:


- ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป และ ผู้ชายอายุ 70 ปีขึ้นไป : การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก หรือที่เรียกว่า Bone Mineral Density (BMD) เป็นการตรวจที่ใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะกระดูกพรุน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายและไม่เจ็บปวด การตรวจนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยระบุความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักและช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษาภาวะกระดูกพรุนหรือไม่
- ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น มีประวัติกระดูกหักในครอบครัว หรือมีภาวะขาดแคลเซียมและวิตามินดีเป็นเวลานาน ควรพิจารณาตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกในช่วงอายุก่อนหน้านั้นตามคำแนะนำของแพทย์

 

ภาวะกระดูกสันหลังทรุดจากกระดูกพรุน


หากผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกพรุนไม่ได้รับการรักษาและเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้มที่ก้นกระแทก หรือแม้แต่แรงกระแทกเล็กน้อย อาจทำให้กระดูกสันหลังทรุดได้ ซึ่งส่งผลให้มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงและขยับตัวลำบาก ในบางกรณี การหกล้มอาจทำให้เกิดการแตกหักในบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เช่น กระดูกสะโพกหรือข้อมือหัก ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การผ่าตัดเพื่อเชื่อมกระดูก หรือการฟื้นฟูด้วยกายภาพบำบัด

 

การรักษาภาวะกระดูกพรุน

การรักษาภาวะกระดูกพรุนมักใช้ยาที่ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกและกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกใหม่ เช่น:


- บิสฟอสโฟเนต (Bisphosphonates): เป็นยาที่ช่วยชะลอการสลายของกระดูกและลดความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหัก
- แคลเซียมและวิตามินดีเสริม: เพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก
- ฮอร์โมนทดแทน: ในบางกรณีการใช้ฮอร์โมนทดแทนอาจช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
- การออกกำลังกาย: เช่น การออกกำลังกายที่มีการรับน้ำหนัก (weight-bearing exercise) เช่น การเดิน การวิ่งเบาๆ หรือการยกน้ำหนัก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ

 

ความสำคัญของการป้องกันและการรักษาที่ทันท่วงที


การตรวจคัดกรองและการรักษาภาวะกระดูกพรุนอย่างทันท่วงทีสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักและการบาดเจ็บรุนแรงได้ ยาที่เหมาะสมช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างกระดูก เมื่อรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากกระดูกพรุน เช่น กระดูกสันหลังทรุด กระดูกสะโพกหัก หรือกระดูกข้อมือหัก ทำให้สามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีและดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

 

การดูแลกระดูกเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในวัยสูงอายุ หากเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุที่เหมาะสมและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกทรุดและภาวะกระดูกหักได้อย่างมาก ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและปลอดภัยในระยะยาว

 

Written by Dr.Matee Phakawech

 

ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังเพื่อประเมินอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ติดต่อสอบถามหรือทำนัดพบแพทย์ โทร 062 365 1788
KLD Clinic #ทางออกสำหรับทุกความเจ็บปวด
Copyright© 2025 KLD CLINIC | ALL RIGHTS RESERVED